การลงทุนมีความเสี่ยงจริงหรือ? ทำความเข้าใจเรื่อง Risk vs. Return เพื่อการตัดสินใจที่ชาญฉลาด
- Writer
- 27 ส.ค.
- ยาว 1 นาที

คุณเคยได้ยินประโยคที่ว่า "การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุน" ไหมครับ? ประโยคนี้มักปรากฏอยู่เสมอเมื่อมีการพูดถึงการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นหุ้น, กองทุนรวม หรือสินทรัพย์อื่นๆ แต่เคยสงสัยไหมว่า "ความเสี่ยง" ที่ว่านี้คืออะไรกันแน่ และทำไมมันถึงแยกไม่ออกจาก "ผลตอบแทน" ที่เราคาดหวัง?
ในโลกของการลงทุนนั้น ความเสี่ยง (Risk) และ ผลตอบแทน (Return) เป็นเหมือนเหรียญสองด้านที่มาคู่กันเสมอ การทำความเข้าใจความสัมพันธ์ของทั้งสองสิ่งนี้จึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้คุณสามารถตัดสินใจลงทุนได้อย่างชาญฉลาด สร้างพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมกับเป้าหมายและระดับความสบายใจของคุณ
บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกความหมายของความเสี่ยงและผลตอบแทนในมิติของการลงทุน พร้อมทั้งเรียนรู้วิธีการประเมินและบริหารจัดการความเสี่ยง เพื่อให้เงินของคุณเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
ทำความเข้าใจ "ความเสี่ยง" ในการลงทุน
ในบริบทของการลงทุน ความเสี่ยง ไม่ได้หมายถึงโอกาสที่จะขาดทุนเพียงอย่างเดียว แต่หมายถึง "ความผันผวน" หรือ "ความไม่แน่นอน" ของผลตอบแทน ที่คุณจะได้รับจากสินทรัพย์นั้นๆ
ลองนึกภาพ:
สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ: เช่น เงินฝากธนาคาร หรือพันธบัตรรัฐบาล คุณจะรู้ผลตอบแทนที่แน่นอนหรือคาดการณ์ได้ค่อนข้างแม่นยำ
สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง: เช่น หุ้น หรือคริปโตเคอร์เรนซี ผลตอบแทนอาจจะผันผวนขึ้นลงอย่างรุนแรง คุณอาจจะได้กำไรมหาศาล หรืออาจจะขาดทุนหนักก็ได้
ประเภทของความเสี่ยงหลักๆ ที่นักลงทุนควรรู้:
ความเสี่ยงตลาด (Market Risk): เป็นความเสี่ยงที่เกิดจากปัจจัยทางเศรษฐกิจโดยรวม เช่น วิกฤตเศรษฐกิจ, การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ย, หรือสถานการณ์การเมือง ทำให้ราคาหลักทรัพย์ทั้งหมดในตลาดปรับตัวลดลงพร้อมกัน
ความเสี่ยงธุรกิจ (Business Risk): เป็นความเสี่ยงที่เกิดจากปัจจัยเฉพาะของบริษัทนั้นๆ เช่น ปัญหาในการบริหารงาน, การแข่งขันสูง, หรือเทคโนโลยีที่ล้าสมัย ทำให้ราคาหุ้นของบริษัทนั้นๆ ปรับตัวลดลง
ความเสี่ยงสภาพคล่อง (Liquidity Risk): เป็นความเสี่ยงที่เกิดจากการที่คุณไม่สามารถขายสินทรัพย์ที่คุณลงทุนอยู่ได้ในราคาที่เหมาะสม หรือไม่สามารถขายได้เลยในเวลาที่คุณต้องการ เช่น อสังหาริมทรัพย์บางประเภท หรือหุ้นที่ไม่มีผู้ซื้อขาย
ความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ (Inflation Risk): เป็นความเสี่ยงที่เงินเฟ้อจะกัดกินมูลค่าที่แท้จริงของผลตอบแทนที่คุณได้รับ ทำให้กำลังซื้อของคุณลดลง ทำความเข้าใจเรื่องนี้ได้เพิ่มเติมในบทความ: เงินเฟ้อคืออะไร? และกระทบเงินในกระเป๋าคุณอย่างไร
ทำความเข้าใจ "ผลตอบแทน" ในการลงทุน
ผลตอบแทน (Return) คือผลกำไรหรือรายได้ที่คุณได้รับจากการลงทุน ซึ่งสามารถมาได้หลายรูปแบบ:
กำไรจากส่วนต่างราคา (Capital Gain): เกิดจากการที่คุณขายสินทรัพย์ในราคาที่สูงกว่าราคาที่คุณซื้อมา เช่น ซื้อหุ้น 10 บาท ขาย 12 บาท คุณได้กำไร 2 บาท
เงินปันผล (Dividend): คือส่วนแบ่งกำไรที่บริษัทจ่ายคืนให้กับผู้ถือหุ้น
ดอกเบี้ย (Interest): คือผลตอบแทนที่คุณได้รับจากการให้กู้ยืมเงิน เช่น ดอกเบี้ยจากเงินฝาก, พันธบัตรรัฐบาล หรือหุ้นกู้
ความสัมพันธ์ของ Risk vs. Return: ยิ่งเสี่ยงมาก ยิ่งมีโอกาสได้ผลตอบแทนมาก
หลักการสำคัญของการลงทุนคือ "Higher Risk, Higher Potential Return" หรือ "ยิ่งมีความเสี่ยงสูงเท่าไหร่ โอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่สูงก็มีมากเท่านั้น" และในทางกลับกัน "Low Risk, Low Return"
เงินฝากธนาคาร: ความเสี่ยงต่ำมาก แต่ผลตอบแทนก็ต่ำมากเช่นกัน
พันธบัตรรัฐบาล: ความเสี่ยงต่ำ แต่ผลตอบแทนก็ต่ำ
กองทุนรวม: ความเสี่ยงปานกลาง (เพราะมีการกระจายความเสี่ยง) ผลตอบแทนปานกลาง เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับกองทุนรวมได้ในบทความ: มือใหม่ควรรู้! กองทุนรวม vs. หุ้น: แบบไหนเหมาะกับคุณ?
หุ้นรายตัว: ความเสี่ยงสูง มีโอกาสได้ผลตอบแทนสูงมาก (หรือขาดทุนมาก)
คริปโตเคอร์เรนซี: ความเสี่ยงสูงมาก มีโอกาสได้ผลตอบแทนสูงมาก (หรือขาดทุนมหาศาล)
ไม่มีการลงทุนใดที่ให้ผลตอบแทนสูงโดยไม่มีความเสี่ยงครับ หากมีใครเสนอการลงทุนแบบนั้น นั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนของมิจฉาชีพ

จะประเมินและบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างไร?
การทำความเข้าใจ Risk vs. Return ไม่ได้หมายความว่าเราต้องหลีกเลี่ยงความเสี่ยงทั้งหมด แต่เป็นการเรียนรู้ที่จะบริหารจัดการมันให้อยู่ในระดับที่เรายอมรับได้

ประเมินระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของตัวเอง:
คุณนอนหลับฝันดีแค่ไหนหากพอร์ตลงทุนติดลบ 10-20%?
คุณมีเวลามากน้อยแค่ไหนในการติดตามและเรียนรู้การลงทุน?
หากคุณเป็นนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อย อาจเริ่มต้นด้วยเงินฝาก พันธบัตร หรือกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงต่ำ
หากคุณรับความเสี่ยงได้สูงและมีเวลาศึกษา อาจพิจารณาลงทุนในหุ้นรายตัวหรือสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง
กระจายความเสี่ยง (Diversification):
"อย่าใส่ไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าใบเดียว" คือหลักการสำคัญของการกระจายความเสี่ยง
กระจายการลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภท (หุ้น, ตราสารหนี้, ทองคำ, อสังหาริมทรัพย์)
กระจายการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่แตกต่างกัน
กระจายการลงทุนในประเทศต่างๆ
กองทุน ETF เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีเยี่ยมในการกระจายความเสี่ยงได้ทันที เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ ETF ได้ในบทความ: รู้จักกองทุน ETF: ทางเลือกใหม่ของการลงทุน
ลงทุนในสิ่งที่เข้าใจ:
อย่าลงทุนตามเพื่อน หรือลงทุนในสิ่งที่ตลาดกำลังฮิตโดยที่คุณไม่เข้าใจหลักการของมัน
ศึกษาข้อมูลของสินทรัพย์ที่คุณสนใจอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ
ลงทุนในระยะยาว:
สำหรับการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง การถือครองในระยะยาวจะช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนในระยะสั้นได้
และยังเปิดโอกาสให้คุณได้รับผลตอบแทนจากพลังของดอกเบี้ยทบต้น
ทบทวนพอร์ตการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ:
ตรวจสอบว่าพอร์ตของคุณยังคงสอดคล้องกับเป้าหมายและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้หรือไม่
ปรับสัดส่วนการลงทุน (Rebalance) เมื่อจำเป็น

บทสรุป: ความรู้คือการลดความเสี่ยงที่ดีที่สุด
การลงทุนไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด หากคุณมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับ "ความเสี่ยง" และ "ผลตอบแทน" ไม่มีใครสามารถการันตีผลตอบแทนจากการลงทุนได้ 100% แต่เราสามารถลดความเสี่ยงลงได้ด้วยการศึกษา, การกระจายความเสี่ยง, และการมีวินัย
เริ่มต้นเรียนรู้ ประเมินความเสี่ยงที่ตัวคุณเองรับได้ และเลือกเครื่องมือการลงทุนที่เหมาะสม การทำเช่นนี้จะช่วยให้คุณก้าวสู่เป้าหมายการสร้าง Passive Income และความมั่นคงทางการเงินได้อย่างยั่งยืน
ความคิดเห็น