สูตรออมเงิน 50/30/20 ฉบับคนอยากมีเงินเก็บ: วิธีจัดการเงินที่ง่ายที่สุดสำหรับทุกคน
- Writer
- 25 ส.ค.
- ยาว 2 นาที
อัปเดตเมื่อ 27 ส.ค.

เคยสงสัยไหมว่าทำไมบางคนมีเงินเก็บเป็นกอบเป็นกำ ทั้งที่เงินเดือนก็ไม่ได้สูงกว่าเราเลย? หรือเคยรู้สึกว่าเงินเดือนออกวันแรกก็หมดไปแล้วในพริบตา? ปัญหาเหล่านี้เป็นเรื่องที่คนจำนวนไม่น้อยต้องเผชิญ แต่ข่าวดีคือมันมีวิธีแก้ครับ และหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมและพิสูจน์แล้วว่าได้ผลจริงคือ "สูตรออมเงิน 50/30/20"
บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกทุกรายละเอียดของสูตรนี้ ตั้งแต่หลักการพื้นฐานที่ทำให้ชีวิตทางการเงินของคุณง่ายขึ้น ไปจนถึงเทคนิคการนำไปใช้จริงในชีวิตประจำวัน พร้อมทั้งตอบคำถามที่หลายคนสงสัยว่าสูตรนี้เหมาะกับใครและควรปรับใช้ยังไงให้เหมาะกับตัวคุณที่สุด
ทำความเข้าใจสูตรออมเงิน 50/30/20 คืออะไร?

สูตรออมเงิน 50/30/20 เป็นแนวคิดการจัดการเงินส่วนบุคคลที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย คิดค้นโดยวุฒิสมาชิก Elizabeth Warren และลูกสาว Amelia Warren Tyagi ในหนังสือ “All Your Worth: The Ultimate Lifetime Money Plan” โดยหลักการง่ายๆ คือการแบ่งรายได้ในแต่ละเดือนของคุณออกเป็น 3 ส่วนหลัก ดังนี้:
50% สำหรับค่าใช้จ่ายจำเป็น (Needs): ค่าใช้จ่ายที่คุณต้องจ่ายในทุกๆ เดือนและหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากไม่มีจะทำให้ชีวิตของคุณยากลำบาก เช่น ค่าเช่าบ้านหรือผ่อนบ้าน, ค่าน้ำ ค่าไฟ, ค่าเดินทาง, ค่าอาหารประจำวัน และค่าผ่อนชำระหนี้ต่างๆ ที่จำเป็น
30% สำหรับค่าใช้จ่ายส่วนตัว (Wants): ค่าใช้จ่ายเพื่อความสุขและความบันเทิงในชีวิต เป็นสิ่งที่คุณต้องการแต่ไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ เช่น ค่าช้อปปิ้ง, ค่าดูหนังฟังเพลง, ค่าสมาชิกฟิตเนส, ค่าท่องเที่ยว หรือการออกไปสังสรรค์กับเพื่อนๆ
20% สำหรับเงินออมและการลงทุน (Savings & Investments): เงินก้อนที่คุณจะกันไว้เพื่ออนาคต ไม่ว่าจะเป็นเงินฉุกเฉิน, เงินออมเพื่อเป้าหมายระยะสั้น-กลาง-ยาว หรือเงินเพื่อการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ที่จะช่วยสร้างความมั่งคั่งให้คุณในอนาคต
หลักการของสูตรนี้คือการทำให้คุณสามารถควบคุมการใช้จ่ายได้อย่างชัดเจน โดยที่ไม่ต้องมานั่งจดบันทึกทุกบาททุกสตางค์ให้ยุ่งยาก และยังช่วยให้คุณมีชีวิตที่สมดุลได้ทั้งในปัจจุบันและเพื่ออนาคต
ตัวอย่างการคำนวณสูตรออมเงิน 50/30/20 สำหรับเงินเดือน 20,000 บาท

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ลองมาดูกันว่าหากคุณมีรายได้เดือนละ 20,000 บาท คุณควรจะแบ่งเงินอย่างไรตามสูตรนี้
50% (10,000 บาท) - ค่าใช้จ่ายจำเป็น:
ค่าผ่อนหอพัก: 4,000 บาท
ค่าเดินทาง: 2,000 บาท
ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์: 1,000 บาท
ค่าอาหารประจำวัน: 3,000 บาท
30% (6,000 บาท) - ค่าใช้จ่ายส่วนตัว:
ค่าช้อปปิ้ง/ซื้อของ: 2,000 บาท
ค่าดูหนัง/สังสรรค์: 1,500 บาท
ค่าสมัครฟิตเนส/คอร์สเรียนเสริม: 1,000 บาท
ค่าใช้จ่ายอื่นๆ: 1,500 บาท
20% (4,000 บาท) - เงินออมและการลงทุน:
เงินออมฉุกเฉิน: 2,000 บาท
เงินออมเพื่อการลงทุน: 2,000 บาท
จากตัวอย่างนี้ จะเห็นว่าคุณสามารถกันเงินไว้สำหรับอนาคตได้ถึงเดือนละ 4,000 บาท หรือเท่ากับ 48,000 บาทต่อปีเลยทีเดียว ซึ่งเป็นจำนวนที่มากพอที่จะเริ่มต้นการลงทุนเพื่อสร้างความมั่งคั่งได้
สูตรนี้เหมาะกับใคร? และไม่เหมาะกับใคร?
เหมาะกับคนที่:
มีรายได้สม่ำเสมอและไม่สูงเกินไป: สูตรนี้เหมาะกับคนทำงานประจำที่มีเงินเดือนคงที่ ทำให้การจัดสรรเงินเป็นเรื่องง่าย
ต้องการวิธีจัดการเงินที่ไม่ซับซ้อน: ไม่ต้องเสียเวลามานั่งทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายที่ละเอียดมาก แค่แบ่งเงินตามสัดส่วนก็เพียงพอ
กำลังเริ่มต้นออมเงิน: เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับผู้ที่ไม่มีเงินเก็บเลย เพราะช่วยสร้างวินัยและทำให้การออมเป็นเรื่องที่จับต้องได้
ไม่เหมาะกับคนที่:
มีภาระหนี้สินสูง: หากคุณมีหนี้สินที่ต้องจ่ายต่อเดือนเกิน 50% ของรายได้ สูตรนี้อาจไม่ตอบโจทย์ เพราะคุณแทบไม่มีเงินเหลือสำหรับค่าใช้จ่ายอื่นๆ เลย
มีรายได้ไม่แน่นอน: เช่น ฟรีแลนซ์หรือเจ้าของธุรกิจ อาจต้องปรับสัดส่วนตามความเหมาะสมในแต่ละเดือน
มีเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงมาก: หากคุณมีเป้าหมายการเงินที่ต้องใช้เงินจำนวนมากในระยะสั้น (เช่น ต้องการซื้อรถใน 1 ปี) คุณอาจต้องเพิ่มสัดส่วนการออมให้มากกว่า 20% เพื่อให้ถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้น
เทคนิคการปรับใช้และทำให้สูตรนี้ได้ผลจริง
การทำตามสูตรนี้ให้ได้ผลไม่ใช่แค่การคำนวณ แต่คือการสร้างวินัยทางการเงินและนำไปปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ นี่คือเทคนิคที่ช่วยให้คุณทำได้สำเร็จ:
1. ตั้งระบบ "อัตโนมัติ"
โอนเงินทันทีที่เงินเดือนเข้า: เมื่อเงินเดือนเข้าบัญชี ให้ตั้งค่าโอนเงินอัตโนมัติไปยังบัญชีเงินออมหรือบัญชีลงทุนทันทีตามสัดส่วน 20% ที่กำหนดไว้ การทำแบบนี้จะทำให้คุณรู้สึกว่าเงินส่วนนี้ "ไม่มีอยู่จริง" และไม่ถูกนำไปใช้โดยไม่จำเป็น
แยกบัญชีให้ชัดเจน: ควรแยกบัญชีธนาคารสำหรับแต่ละส่วน: บัญชีใช้จ่ายประจำวัน (50%), บัญชีค่าใช้จ่ายส่วนตัว (30%) และบัญชีเงินออม/ลงทุน (20%) การแยกบัญชีจะช่วยให้คุณเห็นภาพรวมของการใช้จ่ายได้ชัดเจนและควบคุมได้ง่ายขึ้น
2. ปรับสัดส่วนให้ยืดหยุ่นตามชีวิตจริง
หากคุณมีภาระค่าใช้จ่ายจำเป็นมากกว่า 50% เช่น ค่าเช่าบ้านแพง หรือต้องดูแลคนในครอบครัว คุณสามารถปรับลดสัดส่วนค่าใช้จ่ายส่วนตัว (Wants) ลงได้ เช่น ปรับเป็น 55/25/20 หรือ 60/20/20 เพื่อให้ยังคงมีเงินออมอย่างน้อย 20% เท่าเดิม
ในทางกลับกัน หากคุณมีรายได้สูงและค่าใช้จ่ายจำเป็นต่ำ คุณอาจจะปรับเพิ่มสัดส่วนการออมเป็น 30% หรือ 40% ได้ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการเงินได้เร็วยิ่งขึ้น
3. เริ่มต้นลงทุนเพื่อเอาชนะเงินเฟ้อ
เมื่อคุณสามารถออมเงินได้ 20% อย่างสม่ำเสมอแล้ว ก้าวต่อไปคือการนำเงินออมส่วนนี้ไปลงทุนครับ เพราะการเก็บเงินสดไว้เฉยๆ ในระยะยาวจะถูกลดมูลค่าลงจากเงินเฟ้อ อ่านบทความ: เงินเฟ้อคืออะไร? และกระทบเงินในกระเป๋าคุณอย่างไร
การลงทุนไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด และไม่ได้จำกัดแค่การซื้อหุ้นเท่านั้น คุณสามารถเริ่มต้นได้ง่ายๆ จากการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ-ปานกลาง เช่น:
กองทุนรวม: เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดสำหรับมือใหม่ เพราะมีผู้จัดการกองทุนมืออาชีพดูแลให้ อ่านบทความ: มือใหม่หัดลงทุนในกองทุนรวม
ETF: คล้ายกองทุนรวม แต่มีค่าธรรมเนียมต่ำกว่า และสามารถซื้อขายได้เหมือนหุ้น อ่านบทความ: รู้จักกองทุน ETF
ตลาดการเงินอื่นๆ: เมื่อคุณมีความรู้ความเข้าใจมากขึ้นแล้ว การขยายการลงทุนไปยังตลาดที่มีความผันผวนสูงอย่าง Forex ก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ อ่านบทความ: Forex vs. หุ้น: 5 ข้อแตกต่าง
บทสรุป: สร้างวินัยวันนี้ เพื่อชีวิตที่มั่งคั่งในอนาคต
สูตรออมเงิน 50/30/20 ไม่ได้เป็นเพียงแค่สูตรคำนวณ แต่เป็นเครื่องมือที่ช่วยสร้างวินัยทางการเงินที่ยั่งยืน การทำตามสูตรนี้อย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้คุณ:
มีเงินสำรองฉุกเฉินที่เพียงพอ
มีอิสระทางการเงินมากขึ้น
สามารถบรรลุเป้าหมายทางการเงินที่ตั้งไว้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อบ้าน ซื้อรถ หรือการเกษียณอายุอย่างมีความสุข
หากคุณทำตามสูตรนี้ได้สำเร็จ คุณจะเริ่มมองเห็นโอกาสในการเติบโตของเงินทุน และนั่นคือเวลาที่น่าสนใจที่จะเรียนรู้เรื่องการลงทุนเชิงรุกมากขึ้น
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์และช่วยจุดประกายให้คุณเริ่มต้นเส้นทางสู่การมีอิสรภาพทางการเงินนะครับ หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สามารถทิ้งคอมเมนต์ไว้ได้เลยครับ
ความคิดเห็น